งานนี้คือ Yacht Club De Monaco เป็นคลับของคนเล่นเรือยอร์ชที่ประเทศโมนาโค โดยมีทั้งโรงเรียนสอนเล่นเรือ ร้านค้า พื้นที่นันทนาการ รวมไปถึงห้องพักสำหรับคนรักการเล่นเรือและมาดูการแข่งกรังปรีซ์ที่โมนาโคด้วยครับ
บทความนี้เราจะมาดูงานประกวดแบบของ Coop Himmelb(l)au เจ้าพ่อ อดีตคนเคยดีคอน เมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ที่พยายามทำให้เพลงกลายมาเป็นสถาปัตยกรรมกัน โดยเป็นผลงานประกวดแบบเมื่อปี 2014 ในโครงการ Arvo Part Center ซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางดนตรี ของ Arvo Part นักประพันธ์เพลงคลาสสิค และมีเพลง Spiegel Im Spiegel เป็นเพลงเอกของเขา
ในเชิง Concept ทางสถาปัตยกรรม แน่นอนว่า Coop Himmelb(l)au ใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการออกแบบพื้นที่ทางดนตรีแห่งนี้ โดยเสนอว่า Arvo Part Center น่ามีลักษณะของการนำเพลงที่เลื่องชื่อของนักประพันธ์ท่านนี้มาทำให้เป็นสถาปัตยกรรม หรือพูดง่ายๆ ก็คือสถาปนิกเชื่อว่าสถาปัตยกรรมมีมิตินอกเหนือกว่าการรองรับกิจกรรมทางดนตรี แต่มันจะต้องทำการสื่อความหมายเกี่ยวกับเพลงของ Arvo Part อีกด้วย Coop จึงเสนอว่า จะนำ Spiegel Im Spiegel มาทำให้กลายเป็นสถาปัตยกรรม
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องยกย่องให้กับความจริงจังในกระบวนการที่จะหาวิธีแปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ให้กลายมาเป็นสถาปัตยกรรม และทำออกมาจนได้ น่าเสียดายที่งานชิ้นนี้ไม่ได้รางวัลที่หนึ่งจึงไม่ได้นำไปสร้าง แต่ได้เป็น Special Award เพื่อเชิดชูเกียรติเท่านั้น
ถ้าใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดงานสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมที่ออกมา นอกเหนือไปจากรองรับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอาคารแล้วยังมีมิติของความหมายทับอยู่ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไป เช่น ป้อมยามหมวกจราจร แต่จริงๆ แล้วการใช้ความหมายเป็นเครื่องมือออกแบบในงานสถาปัตยกรรมอาจมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าความหมายแบบตรงไปตรงมาเช่นงาน Jewish Museum ของ Daniel Libeskind ก็เป็นการประกอบขึ้นของประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว หรือ งาน Apple Store ที่เอาความหมายของศาสนสถาน ความมหัศจรรย์ มาใช้ในการออกแบบร้านค้าของตนเอง
แต่ถ้าเราเปลี่ยน เครื่องมือ เป็นการออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกของผู้คนที่เข้าไปในอาคาร งานสถาปัตยกรรมที่เราออกแบบก็จะเปลี่ยนไป เช่นงานของ Peter Zumthor ที่เน้นความเข้ารู้สึกของคนที่เข้าไปในสถาปัตยกรรมที่เขาออกแบบ งานออกแบบของเขาจึงมิได้มีมิติของความหมายแบบงานของ Libeskind แต่ใน Space ที่เขาออกแบบนั้นมี คุณภาพของที่ว่างที่ผู้คนรับรู้ได้อย่างเข้มข้น เช่นงาน Bruder Klaus Field Chapel ที่เมื่อผู้คนเข้าไปในงานสถาปัตยกรรมแล้ว รับรู้ได้ถึงกลิ่นเขม่าของไม้ที่ไหม้ที่เคลือบอยู่บนผนังของ Chapel และสีดำยังช่วยให้เกิดความมืด ผู้คนเข้าไปภายในรู้สึกถึงความสงบ
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า การใช้เครื่องมือในการคิด หรือที่เราเรียกมันว่า Concept แตกต่างกัน ก็จะทำให้ผลลัพท์ทางสถาปัตยกรรมออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การรู้ตัวก่อนการออกแบบว่าเราเลือกเครื่องมือแบบไหน เพื่อให้ผลลัพท์ออกมาอย่างที่เราต้องการเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้งานออกแบบของเรามีความชัดเจนแหลมคมมากยิ่งขึ้นเช่น ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับนิทรรศการ การให้ข้อมูล หรือแม้แต่สินค้า การใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือที่ทำให้งานสถาปัตยกรรมออกมา ดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกับกิจกรรมที่เกิดขึ้น ในขณะที่โครงการที่ต้องการความลึกซึ้งของการรับรู้เช่นพื้นที่แห่งการระลึกถึงผู้เสียชีวิต การใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดอาจให้ผลลัพท์ที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับลักษณะของกิจกรรมเท่าใดนัก เช่นงานของ Studio for Design & Architecture Ron Shenkin ที่สถาปัตยกรรมติดอยู่กับป้าช้า (ลองดูขยายความเรื่องนี้เพิ่มตรงนี้ครับ ความหมายกับสถาปัตยกรรมแห่งความตาย)