วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อุดมคติสถาปัตยกรรม

มีบางประโยคจากสารคดีเรื่อง Archiculture ที่ชอบมากเลยโควทไว้ ณ ที่นี้



"เรื่องของการถูกวิจารณ์อาจจะคอนเซปท์ที่ดูแปลกประหลาดสำหรับหลายคน แต่สำหรับนักศึกษาสถาปัตย์แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน นักศึกษาจะต้องผ่านกระบวนการถูกประเมิน ซึ่งมีลักษณะเป็นเรื่องส่วนตัวสูงมาก แต่ในเดียวกันมันก็มีความเป็นสาธารณะสูงมากเช่นกัน คุณแสดงตัวตนของคุณออกมา เปิดให้ตัวเองถูกทำร้าย และโดนวิจารณ์ มันตึงเครียด ทำไมเราต้องไปผูกตัวเราให้เป็นอย่างนั้นด้วย  คำตอบก็คือเรารักสถาปัตยกรรม"



"ก่อนหน้าที่คุณจะมาเรียนสถาปัตยกรรมคุณจะมีการมองสถาปัตยกรรมด้วยสายตาแบบเด็กๆ นั่นคือมองมันอย่างเป็นประติมากรรม แต่มันจะถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณเรียนไปเรื่อยๆ ที่คุณจะเลิกจัดการกับเรื่องปลีกย่อยของสถาปัตยกรรมแล้ว มุ่งเน้นไปที่เรื่อง Space แทน"

Concept การนำวัตถุมาเป็นเครื่องมือในการคิดออกแบบสถาปัตยกรรม ไม่ใช่ปัญหาถ้าทำออกมาได้ดี

จากโพสท์ที่แล้วที่เสนอวิธีการสร้างแนวความคิดโดยการนำวัตถุมาเป็นจุดเริ่มต้น (ถ้ายังไม่ได้อ่าน อ่านได้ตรงนี้ครับ) หลายคนอาจจะมีข้อแย้งว่า มันดูโต้งๆ ไม่ลึก งานจะออกมาไม่ดีรึเปล่า วันนี้ผมมีกรณีศึกษาที่ใช้วิธีการแบบเดียวกันจากสถาปนิกระดับโลกมาให้ดูกันครับ


งานนี้คือ Yacht Club De Monaco เป็นคลับของคนเล่นเรือยอร์ชที่ประเทศโมนาโค โดยมีทั้งโรงเรียนสอนเล่นเรือ ร้านค้า พื้นที่นันทนาการ รวมไปถึงห้องพักสำหรับคนรักการเล่นเรือและมาดูการแข่งกรังปรีซ์ที่โมนาโคด้วยครับ 



แนวความคิดของโครงการนี้ก็ตรงไปตรงมาคือการใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดคอนเซปท์ โดยหยิบเรือยอร์ชมาเป็นต้นแบบ ทำการวิเคราะห์ว่าลักษณะของเรือยอร์ชมีอะไรบ้าง ซึ่งจากที่เห็นชัดๆ ออกมาจากงานออกแบบคือ เรือยอร์ชมี Deck ไม้, มีเส้นนอนที่ลดหลั่นกัน, มีตัวฐานเรือ และ ตัวเรือ, สีขาว หลังจากนั้นก็มาทำการประกอบเป็นสถาปัตยกรรม 



เราจึงเห็นสถาปัตยกรรม Yacht Club De Monaco ที่มีลักษณะเป็นเรือยักษ์ขนาดใหญ่จอดริมฝั่ง มีเส้นสายที่ค่อยๆ ลดหลันขึ้นไปที่เมื่อมองมาจากไกลๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองมาจากเรือยอร์ชก็จะเห็นเป็นเส้น Outline ของเรือ โดยในเชิงแปลนมี Deck ไม้ในทุก Floor ที่ให้อารมณ์เหมือนกับเราไปอยู่บนเรือ และแน่นอน ลักษณะของแปลน แคบยาว และชั้นล่างสุดยาวกว่าชั้นอื่นๆ เนื่องจากต้องการให้เป็นฐานของเรือ 


คุณคิดยังไงกับสถาปัตยกรรมชิ้นนี้บ้างครับ ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจของโครงการนี้คือ สามารถแก้ไขข้อครหาของวิธีการแบบนำวัตถุมาเป็นต้นแบบเพื่อสร้างสัญลักษณ์ที่มักจะโดนคนส่วนใหญ่โจมตีเมื่อมันสร้างเสร็จแล้วว่า มันมีลักษณะเหมือนงาน Sculpture (เหมือนงานพื้นที่พิธีศพของอิสราเอลที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้)  แปลกแยกออกจากพื้นที่โดยรอบ แต่ทั้งๆ ที่มันมีลักษณะเหมือนเรือยักษ์แต่งานชิ้นนี้ของ Norman Foster ดูเข้ากับพื้นที่มาก อาจจะเนื่องมาจาก ได้ใช้เส้นนอน ที่พยายามเชื่อมต่อกับเส้นนอนของตึกต่างๆ ที่อยู่ด้านหลัง มาเป็นอ้างอิง แต่คุมให้อยู่ในสัดส่วนแบบเรือ 



อีกทั้งยังเสนอพื้นที่น่าสนใจเช่น Deck ไม้ลดหลั่นกัน ที่ดูน่าสนุก หรูหรา น่าเข้าไปนั่ง ดูสอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบคนชอบเล่นเรือ และเชื่อมโยงลักษณะของ Deck นี้ยังเชื่อมโยงกับเอกลักษณ์ของความเป็นเรือยอร์ชอย่างชัดเจน 



หรืออาจจะพูดได้ว่า การคิด Concept ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุด แต่ถ้าเราทำมันได้ดี แม่นยำ และเก่งในการวิเคราะห์ประเด็นว่าจะเอาอะไรมาประกอบเป็นสถาปัตยกรรมจากต้นแบบนั้น งานออกแบบก็สามารถออกมาน่าสนใจได้ครับ 

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีนำความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิด Concept ให้เกิดเป็นงานสถาปัตยกรรม โดยใช้วัตถุ

บทความนี้จะเป็นการเสนอวิธีการนำ ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิด ซึ่งการใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดช่วยทำให้สถาปัตยกรรมออกมานั้นยังเป็นวิธีการที่ใช้อยู่แพร่หลายในประเทศไทย เช่นล่าสุดคืองาน ศาลาไทย ในงาน Expo ที่ มิลาน ในปี 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่เป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุดเครื่องมือหนึ่งในการคิดคอนเซปท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ฝึกคิดใหม่ๆ เนื่องมาจาก เป็นวิธีการที่ค่อนข้างมีขั้นตอนชัดเจน เข้าใจได้ง่าย



โดยวิธีนำความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิด Concept ให้เกิดเป็นงานสถาปัตยกรรมนั้น ไม่ได้เหมาะสมกับทุกประเภทโครงการ แต่เหมาะสมสำหรับโครงการบางประเภทที่ กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ใช้ เข้าไปใช้งานอาคารต้องการมิติที่นอกเหนือมิติทางด้านประโยชน์ใช้สอย แต่ต้องการมิติเชิงความหมาย ที่ทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่องราวที่อาคารทำการสื่อสารได้มากขึ้น อาคารประเภทนี้เช่น พิพิธภัณฑ์ พื้นที่นิทรรศการ - พิพิธภัณฑ์ข้าวไทย ก็ทำให้อาคารออกมามีรูปเหมือนข้าว คนที่เข้าไปใช้ก็จะอินกับการดูนิทรรศการมากขึ้น เข้าใจข้าวได้มากขึ้น, ร้านค้าที่ต้องการส่งเสริมแบรนด์ - ร้าน Apple Store ที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของ Apple ผ่านการทำให้ Apple Store มีลักษณะเหมือนศาสนสถาน, โรงแรม รีสอร์ท - เราไม่ได้เข้าไปโรงแรมเพียงเพื่อไปนอนหลับบนเตียงเหมือนตอนเราอยู่บ้าน แต่เราอยากจะเข้าไปอยู่ในสถาปัตยกรรมแบบชนเผ่า เมื่อเราไป Africa เราอยากจะเสพมิติที่เป็นความหมาย ซึ่งเป็นมิติที่ซ้อนทับมากไปกว่าประโยชน์ใช้สอย



การนำความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดคอนเซปท์ให้เกิดสถาปัตยกรรม นั้นโดยปกติแล้วจะประกอบไปด้วยสองแนวทางคือ

1. การใช้วัตถุมาเป็นตัวสื่อความหมาย เช่น การนำข้าวมาเป็นตัวสื่อความหมายของพิพิธภัณฑ์ข้าว ซึ่งวัตถุนี้อาจจะเป็นการประกอบกันขึ้น ของวัตถุที่มากกว่าชิ้นเดียวก็ได้ เช่น ศาลาไทยในงาน Expo ปรกอบไปด้วย หมวกชาวนา, พญานาค, น้ำ

2. การใช้ความหมายมาเป็นตัวสื่อความหมาย เช่นการนำข้อความ หรือ คำมาเป็นตัวตั้งต้น และนำไปสู่การเกิดสถาปัตยกรรม เช่น ชีวิตของข้าว ในโครงการพิพิธภัณฑ์ข้าวไทย

ในบทความนี้จะเสนอวิธีแรก คือ นำวัตถุมาเป็นตัวสื่อความหมาย  และเพื่อให้เข้าใจง่าย เหมาะแก่การฝึกคิดสำหรับผู้เริ่มต้น จึงทดลองนำ แก้วกาแฟ หนึ่ง แก้ว มาทำให้เป็นสถาปัตยกรรม ร้านกาแฟ โดยมีขั้นตอนดังนี้



1. วิเคราะห์วัตถุ
เมื่อเลือกวัตถุที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่ทำการออกแบบ ได้แล้ว ซึ่งในที่นี้คือ แก้วกาแฟ ของร้านกาแฟที่จะทำการออกแบบ ทำการวิเคราะห์แก้วกาแฟ โดยพยายามถอดสิ่งต่างๆ ที่เห็นจากแก้วกาแฟ ออกมาให้ได้เยอะที่สุด โดยยังไม่ต้องคิดว่า สิ่งที่ได้จะเอาไปทำเป็นส่วนใดของสถาปัตยกรรม ซึ่งในตัวอย่าง ทำการถอดแก้วกาแฟ มาได้ 4 ประเด็นคือ การดูดกาแฟมีทิศทางเอียงจากก้นแก้วผ่านหลอดสู่ผู้ดื่มกาแฟ, การลดของระดับกาแฟในแก้วผกผันกับความสุขของผู้ดื่ม, หยดน้ำที่เกาะกาแฟแสดงถึงความเย็นของกาแฟที่อยู่ด้านใน, ฝากาแฟ ที่มีรูเจาะสำหรับใส่หลอด โดยจะต้องทำสิ่งที่วิเคราะห์ได้ให้ออกมาเป็นกราฟฟิคเพื่อง่ายต่อการประยุกต์เป็นสถาปัตยกรรม



2. ซ้อนสิ่งที่วิเคราะห์ได้เข้าไปองค์ประกอบพื้นฐานของสถาปัตยกรรม
นำประเด็นทั้งสี่ที่ได้มาพิจารณาว่า หากจะทำให้ประเด็นทั้งสี่กลายเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรม จะมีลักษณะอย่างไร ซึ่งในตัวอย่างนี้ประกอบไปด้วย Form, Space, Circulation + Perception, Material แล้วจะสามารถประยุกต์เข้าได้อย่างไร เช่น การลดของระดับกาแฟในแก้วผกผันกับความสุขของผู้ดื่ม น่าจะสัมพันธ์กับ Perception ในขณะที่ การดูดกาแฟมีทิศทางเอียงจากก้นแก้วผ่านหลอดสู่ผู้ดื่มกาแฟ น่าจะสัมพันธ์กับ Circulation, หยดน้ำที่เกาะกาแฟแสดงถึงความเย็นของกาแฟที่อยู่ด้านใน น่าจะสัมพันธ์กับ Material และ หลอดเอียงน่าจะสัมพันธ์กับ Form และ Space


3. นำลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ได้ มาประกอบเป็นภาพแรกของสถาปัตยกรรม โดยในการประกอบกันนั้น จะต้องทำการเลือกภาพหลักขึ้นมาหนึ่งภาพ เพื่อเป็นตัวเริ่มต้นก่อน หลังจากนั้นจึงทำการ นำภาพอื่นๆ เข้ามาเสริม โดยในตัวอย่างนี้เริ่มต้นที่ หลอดเอียง มาเป็นภาพเริ่มต้น หลังจากนั้นจึงทำการซ้อนลักษณะทางสถาปัตยกรรมอื่นๆ ตามเข้าไป เช่น Circulation ที่การดูดกาแฟมีทิศทางเอียงจากก้นแก้วผ่านหลอด, วัสดุที่แสดงถึงหยดน้ำที่เกาะกาแฟ, การถูกแบ่งเป็นชั้นๆ ของระดับของกาแฟที่ลดลงเรื่อย มาขีดแบ่งเป็นส่วนๆ

4. คิดเรื่องกิจกรรมที่จะเกิดจะขึ้นในร้านกาแฟ ซ้อนเข้าไป ในไดอะแกรม เช่น ชั้นบนสุดน่าจะเป็นส่วนที่สุดยอดของโครงการเป็นความรู้สึกที่ได้ดื่มกาแฟแล้วเกิดอารมณ์ปลอดโปร่ง จึงสร้างกิจกรรมจิบกาแฟชมวิว ทำงานศิลปะไปด้วย, ชั้นล่างสุดที่เป็นสีกาแฟเข้มข้นน่าจะ Set กิจกรรมที่เกี่ยวกับการขายกาแฟ การชงกาแฟ, ชั้นรองลงมาที่มีสีกาแฟเข้ม เหมาะสำหรับการนั่งดื่มาแฟคนเดียวและคิดงานไปด้วยโดยไม่อยากถูกรบกวน, ชั้นที่เป็นหยดน้ำเกาะกาแฟ เป็นชั้นที่เริ่มเห็นสภาพแวดล้อมข้างๆ ที่ไม่ชักนัก เหมาะสำหรับนั่งดื่มกาแฟเป็นกลุ่มกับเพื่อน

5. คิดเรื่องลักษณะทางสถาปัตยกรรมให้ชัดเจนขึ้น เช่นเริ่มกำหนดขอบเขตของพื้น กำหนดว่า ระบบ Circulation ที่เป็นหลอดเอียงจะใช้งานจริงอย่างได้อย่างไร



เมื่อทำครบทั้งห้าขั้นตอนก็จะได้ภาพแรกของร้านกาแฟออกมา เป็น Idea ที่เกิดจาก การนำแก้วกาแฟมาวิเคราะห์ ถอดลักษณะต่างๆ ออกมา และทำการประกอบกลับเข้าไปเป็นสถาปัตยกรรม ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้งานสถาปัตยกรรมแตกต่างออกไปจากการนำแก้วกาแฟมาประยุกต์แบบตรงไปตรงมา ผู้ใช้หรือกลุ่มเป้าหมาย อาจะมีความสุขกับการดื่มกาแฟมากขึ้นและประทับใจในประสบการณ์ของการมาดื่มกาแฟ ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากร้านกาแฟทั่วไป



วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Concept : วิธีการทำดนตรีให้เป็นสถาปัตยกรรม โดยการใช้ Spectrograme

บทความนี้เราจะมาดูงานประกวดแบบของ Coop Himmelb(l)au เจ้าพ่อ อดีตคนเคยดีคอน เมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ที่พยายามทำให้เพลงกลายมาเป็นสถาปัตยกรรมกัน โดยเป็นผลงานประกวดแบบเมื่อปี 2014 ในโครงการ Arvo Part Center ซึ่งเป็นพื้นที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางดนตรี ของ Arvo Part นักประพันธ์เพลงคลาสสิค และมีเพลง Spiegel Im Spiegel เป็นเพลงเอกของเขา


ในเชิง Concept ทางสถาปัตยกรรม แน่นอนว่า Coop Himmelb(l)au ใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการออกแบบพื้นที่ทางดนตรีแห่งนี้ โดยเสนอว่า Arvo Part Center น่ามีลักษณะของการนำเพลงที่เลื่องชื่อของนักประพันธ์ท่านนี้มาทำให้เป็นสถาปัตยกรรม หรือพูดง่ายๆ ก็คือสถาปนิกเชื่อว่าสถาปัตยกรรมมีมิตินอกเหนือกว่าการรองรับกิจกรรมทางดนตรี แต่มันจะต้องทำการสื่อความหมายเกี่ยวกับเพลงของ Arvo Part อีกด้วย Coop จึงเสนอว่า จะนำ Spiegel Im Spiegel มาทำให้กลายเป็นสถาปัตยกรรม



วิธีการที่ Coop ใช้ในการแปลงเพลงมาเป็นสถาปัตยกรรมก็คือการใช้ Spectrograme คือการทำเสียงเพลงให้กลายมาเป็นภาพของคลื่นเสียง โดยนำ Spectrograme ของสองเครื่องดนตรีหลักในเพลงคือ เปียโนและไวโอลิน มาถอด คลื่นเสียงให้กลายเป็นภาพ


หลังจากนั้นจึงนำ Spectrograme ทั้งสอง มาทำให้เกิดเป็นลักษณะที่เป็นสามมิติ ด้วยวิธีการคำนวนทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า Fast Fourier (อันนี้ผมยอมแพ้จริงๆ มันเป็นเรื่องคณิตศาสตร์พยายามไปอ่านแล้ว ไม่เข้าใจเลย แต่เอาเป็นว่าทำให้เกิดเป็นพื้นที่สามมิติตามไดอะแกรม โดยที่สถาปนิกไม่ได้มั่วเขียนเองแต่ให้คอมพิวเตอร์คำนวนให้)



สถาปัตยกรรมที่ออกมาจึงเป็นภาพตัวแทนของเพลง Spiegel Im Spiegel โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ เจ้าตัวสถาปัตยกรรมที่มาจาก Spectrograme ของเพลงนี้ ไม่ได้แตะพื้นดินเลย ตำแหน่งที่แตะพื้นดินตำแหน่งเดียวคือตำแหน่ง ที่เป็นพื้นที่แสดงดนตรี ซึ่งเจ้า Spectrograme นี้ไปทำหน้าที่ในการห่อพื้นที่นี้ไว้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเพลงทั้งเพลงลอยอยู่ในอากาศและแตะพื้นเฉพาะตรงที่มีการเล่นดนตรีที่เป็นจุดที่มีกิจกรรมทางดนตรีที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้น


ส่วนพื้นที่อื่นๆ นั้น เกิดขึ้นรอบๆ Spectrograme คือเพลงกลายเป็นหลังคาบ้าง กลายเป็นผนังบ้าง




ความเห็นของผมเกี่ยวกับงานชิ้นนี้คือ ผมว่าจังหวะที่อาจจะดูมีปัญหาคือการพยายามทำให้เพลงกลายเป็นภาพ พอทำให้เพลงกลายเป็นภาพ คำถามที่ตามมาก็คือ ตกลงแล้วสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นมันคือเพลง Spiegel Im Spiegel หรือมันเป็นเพียง การนำรูปคลื่นเสียงมาขึ้นเป็นงานสถาปัตยกรรมกันแน่ ? และไม่แน่ใจว่าเมื่อคนเห็นแล้วจะเข้าใจหรือไม่ว่ามันเป็น Spectrograme และเป็น Spectrograme ของเพลงเอกของนักประพันธ์



แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องยกย่องให้กับความจริงจังในกระบวนการที่จะหาวิธีแปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ให้กลายมาเป็นสถาปัตยกรรม และทำออกมาจนได้ น่าเสียดายที่งานชิ้นนี้ไม่ได้รางวัลที่หนึ่งจึงไม่ได้นำไปสร้าง แต่ได้เป็น Special Award เพื่อเชิดชูเกียรติเท่านั้น


วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความหมายกับสถาปัตยกรรมแห่งความตาย

เราต้องการให้สถาปนิกใส่ความหมายมามากแค่ไหนในสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพิธีศพของคนใกล้ชิดของเรา นี่เป็นคำถามที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้เห็นรูปพื้นที่สำหรับทำพิธีกรรมก่อนจากผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายของอิสราเอล



แว็บแรกที่ผมเห็นสถาปัตยกรรมชิ้นนี้คือมันสวยดี น่าจะใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการออกแบบ แต่พอดูไปเรื่อยๆ เอะ นี่มันอยู่ในสุสาน นี่นา ดูต่อไป เอะ นี่มันพื้นที่ทำพิธีกรรมในสุสานนี่นา เลยทำให้เกิดคำถามขึ้นมา

แต่ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ผมเห็นด้วยเต็มที่กับการออกแบบพื้นที่ทำพิธีกรรมที่มีลักษณะใหม่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นเราก็คงทำการ Copy ของเก่าอยู่ร่ำไป แต่ประเด็นของบทความนี้คือ การใช้ความหมายที่มันค่อนข้างหนักมือ หมายถึงมันชัดเจน ตรงไป ตรงมา มันสัมพันธ์กับบริบทของงานศพมั้ย



ผมรู้สึกว่าการที่มันมีความหมายอยู่เยอะ และชัดมาก คือเป็นต้นไม้ ทำให้มีความรู้สึกว่ามัน เข้ามารบกวนจิตใจ ของผู้คนที่กำลังอยู่ในสภาวะสูญเสีย มันอาจจะมากเกินไป และ ในช่วงเวลานั้น ผู้คนอาจไม่ต้องการเสพสถาปัตยกรรมที่มันมีความเป็น Sculpture สูงขนาดนั้นรึเปล่า ? (แต่คำถามน่าสนใจว่า ถ้าเราคิดแบบนี้แสดงว่าสถาปัตยกรรมก็ไม่มีค่าใดๆ เลยสิ ไม่ควรเอาสถาปัตยกรรมเข้าไปสัมพันธ์กับการตายของคนเลยหรือ ?) ถ้าเปลี่ยนมาเป็นร้านขายคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งร้านกาแฟ พื้นที่นี่ดูน่าจะสัมพันธ์กับกิจกรรมมากกว่าหรือเปล่า ?



ผมคิดว่าบางทีหากเปลี่ยนเครื่องมือในการคิดจากการใช้ความหมายในการออกแบบ มาพิจารณาถึงคนที่อยู่ร่วมพิธีศพว่าสภาวะจิตใจของพวกเขาเป็นอย่างไร และ พวกเขาต้องการคุณภาพของที่ว่างแบบไหน ที่ทำให้พวกเขาสบายใจขึ้น บางทีสถาปัตยกรรมอาจจะดูเป็นหนึ่งเดียวกับสาระสำคัญของ Program มากกว่านี้รึเปล่า ?



แต่ถ้าในอิสราเอล ต้นไม้มีความหมายมากๆ เกี่ยวกับชีวิต หรือ การเกิด การตาย หรือแม้กระทั่ง พระเจ้า สถาปัตยกรรมชิ้นนี้ก็จะสัมพันธ์กับ โปรแกรมอย่างมากทีเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่อาจจะต้องถามกันต่อไปก็คือ การเป็นต้นไม้แบบตรงไป ตรงมา มันส่งเสริมกิจกรรมงานศพอย่างไร



เป็นคำถามที่ชวนกันคิดครับ ไม่ได้ตัดสินแบบชัดๆ เพราะว่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คิดว่ายังไงกันบ้างครับ

Concept คืออะไร และ มันจะช่วยเราในการออกแบบสถาปัตยกรรมได้ยังไง

ในบทความนี้มองว่า Concept หรือแนวความคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมเป็นเครื่องมือที่จะช่วยนักออกแบบให้คิดงานสถาปัตยกรรมของเขาออกมาได้ โดยเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ออกแบบ (สถาปนิก / นักเรียนสถาปัตยกรรม) และ งานออกแบบของเขา



Concept มีลักษณะเหมือนเป็นเครื่องมือ ถ้าคิดง่ายๆ อาจลองนึกถึงเครื่องมือช่างบางอย่างที่มีหน้าที่เฉพาะเช่น เราเลือก เครื่องมือ ที่เรียกว่า ค้อน ในการตอบสนองหน้าที่บางอย่างก็คือ การตอกตะปู  หรือเราใช้เครื่องวัดอุหภูมิ เป็นเครื่องมือ เพื่อตอบสนองความต้องการในการที่จะรู้อุณหภูมิ 



แนวความคิดในการออกแบบหรือ Concept ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับเครื่องมือเหล่านั้นคือ เอาไว้เพื่อตอบหน้าที่บางอย่าง 



Concept ในลักษณะที่เป็นเครื่องมือในการคิดนี้ มีมากมายหลายอย่าง มีเยอะเท่าที่จะคิดออก จะขอยกตัวอย่างแบบคร่าวๆ มาสักสองอัน เพื่อจะได้เห็นว่า ใช้ Concept ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการคิดที่ต่างกัน ทำให้ผลลัพท์ของสถาปัตยกรรมออกมาแตกต่างกันอย่างมาก 


ถ้าใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดงานสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมที่ออกมา นอกเหนือไปจากรองรับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอาคารแล้วยังมีมิติของความหมายทับอยู่ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไป เช่น ป้อมยามหมวกจราจร แต่จริงๆ แล้วการใช้ความหมายเป็นเครื่องมือออกแบบในงานสถาปัตยกรรมอาจมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าความหมายแบบตรงไปตรงมาเช่นงาน Jewish Museum ของ Daniel Libeskind ก็เป็นการประกอบขึ้นของประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว หรือ งาน Apple Store ที่เอาความหมายของศาสนสถาน ความมหัศจรรย์ มาใช้ในการออกแบบร้านค้าของตนเอง 


แต่ถ้าเราเปลี่ยน เครื่องมือ เป็นการออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกของผู้คนที่เข้าไปในอาคาร งานสถาปัตยกรรมที่เราออกแบบก็จะเปลี่ยนไป เช่นงานของ Peter Zumthor ที่เน้นความเข้ารู้สึกของคนที่เข้าไปในสถาปัตยกรรมที่เขาออกแบบ งานออกแบบของเขาจึงมิได้มีมิติของความหมายแบบงานของ Libeskind แต่ใน Space ที่เขาออกแบบนั้นมี คุณภาพของที่ว่างที่ผู้คนรับรู้ได้อย่างเข้มข้น เช่นงาน Bruder Klaus Field Chapel ที่เมื่อผู้คนเข้าไปในงานสถาปัตยกรรมแล้ว รับรู้ได้ถึงกลิ่นเขม่าของไม้ที่ไหม้ที่เคลือบอยู่บนผนังของ Chapel และสีดำยังช่วยให้เกิดความมืด ผู้คนเข้าไปภายในรู้สึกถึงความสงบ 



เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า การใช้เครื่องมือในการคิด หรือที่เราเรียกมันว่า Concept แตกต่างกัน ก็จะทำให้ผลลัพท์ทางสถาปัตยกรรมออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การรู้ตัวก่อนการออกแบบว่าเราเลือกเครื่องมือแบบไหน เพื่อให้ผลลัพท์ออกมาอย่างที่เราต้องการเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้งานออกแบบของเรามีความชัดเจนแหลมคมมากยิ่งขึ้นเช่น ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับนิทรรศการ การให้ข้อมูล หรือแม้แต่สินค้า การใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือที่ทำให้งานสถาปัตยกรรมออกมา ดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกับกิจกรรมที่เกิดขึ้น ในขณะที่โครงการที่ต้องการความลึกซึ้งของการรับรู้เช่นพื้นที่แห่งการระลึกถึงผู้เสียชีวิต การใช้ความหมายมาเป็นเครื่องมือในการคิดอาจให้ผลลัพท์ที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับลักษณะของกิจกรรมเท่าใดนัก เช่นงานของ Studio for Design & Architecture Ron Shenkin ที่สถาปัตยกรรมติดอยู่กับป้าช้า (ลองดูขยายความเรื่องนี้เพิ่มตรงนี้ครับ ความหมายกับสถาปัตยกรรมแห่งความตาย)